เปิดใจซีอีโอ Perplexity จากเครื่องมือค้นหาบน Twitter สู่สตาร์ทอัพที่พร้อมสู้กับ OpenAI และ Google

Aravind Srinivas

ท่ามกลางการแข่งขันอันดุเดือดของวงการ AI ที่มีผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Google และ OpenAI ครองตลาด, Aravind Srinivas, CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง Perplexity กลับมองเห็นโอกาสและช่องว่างในการสร้างนิยามใหม่ให้กับการค้นหาข้อมูล เขาได้เปิดเผยมุมมองและแผนการใหญ่ของบริษัทในเซสชันล่าสุด ซึ่งไม่ใช่แค่การสร้าง Search Engine ที่ดีกว่า แต่คือการเดิมพันครั้งสำคัญกับอนาคตที่เรียกว่า “เบราว์เซอร์”

จากปัญหาโครงสร้างสู่การเดิมพันครั้งใหม่ 

Aravind เริ่มต้นด้วยการยอมรับว่า Perplexity กำลังเผชิญกับปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ทุกวัน ซึ่งเป็นผลมาจากจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจนต้องวางแผนสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ใหม่เพื่อรองรับการเติบโตอีก 10 เท่าในอนาคต

แม้ว่า Perplexity จะยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นที่หนึ่งในด้านการตอบคำถามพร้อมอ้างอิงแหล่งที่มาที่แม่นยำ แต่ Aravind ยอมรับว่าผู้เล่นรายอื่นก็กำลังไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว ดังนั้น การเดิมพันครั้งต่อไปที่แท้จริงของบริษัทคือ “เบราว์เซอร์”

“เราคิดว่ามันเป็นเหมือน ‘ผู้ช่วย’ มากกว่าจะเป็น Agent ที่ทำงานอัตโนมัติโดยสมบูรณ์… ทำให้เบราว์เซอร์รู้สึกเหมือนเป็น ‘ระบบปฏิบัติการเชิงปัญญา’ (Cognitive Operating System) มากกว่าแค่เบราว์เซอร์อีกตัวหนึ่ง”

วิสัยทัศน์ของ Perplexity คือการสร้างเบราว์เซอร์ใหม่ในชื่อ “Comet” ที่จะเปลี่ยน Omnibox (ช่องค้นหา) ให้กลายเป็นศูนย์กลางที่ผู้ใช้สามารถนำทาง, ถามคำถาม และมอบหมายงานที่ซับซ้อน (Agentic Tasks) ได้ โดย AI จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยในทุกหน้าเว็บที่ผู้ใช้เข้าชม สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันแบบ Asynchronous, ดึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ (เช่น รายชื่อติดต่อ, อีเมล, ปฏิทิน) เพื่อช่วยทำงานที่ซับซ้อนอย่างการค้นคว้าข้อมูลอสังหาริมทรัพย์หรือตลาดหุ้นได้ เปรียบเสมือนแต่ละคำค้นหาคือโปรเซสที่ทำงานแยกกัน คล้ายกับที่ Chrome เคยสร้างความตื่นเต้นด้วยการให้แต่ละแท็บเป็นโปรเซสของตัวเอง

สงครามความเร็ว: กลยุทธ์เดียวในการสู้กับยักษ์ใหญ่

เมื่อถูกถามถึงการแข่งขันกับ Google และ OpenAI ที่ต่างก็มุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน Aravind ยอมรับว่าเป็นเรื่องธรรมชาติที่เมื่อมีสิ่งที่คุ้มค่าที่จะทำ ย่อมมีผู้เล่นที่มีเงินทุนมหาศาลกระโดดเข้ามาด้วย

“ปราการเดียวที่คุณมีคือความเร็ว คุณต้องสร้างนวัตกรรม คุณต้องเคลื่อนไหวเร็วกว่าคนอื่น และมันเหมือนกับการวิ่งมาราธอน แต่ด้วยความเร็วที่สูงมาก”

เขาเชื่อว่าบริษัทสามารถเป็นที่หนึ่งของโลกได้เพียงไม่กี่อย่าง สำหรับ Perplexity สิ่งนั้นคือ ความแม่นยำ ในระดับของคำตอบและงานต่างๆ Aravind ย้ำว่า “เบราว์เซอร์นั้นลอกเลียนแบบได้ยากกว่าเครื่องมือแชทอีกตัวหนึ่งมาก” แต่เขาก็ทำงานโดยตั้งสมมติฐานเสมอว่าทั้ง OpenAI และ Anthropic ก็จะสร้างเบราว์เซอร์ของตัวเองเช่นกัน ดังนั้นความเร็วในการสร้างนวัตกรรมจึงเป็นหัวใจสำคัญ

สิ่งนี้สะท้อนผ่านตัวตนของเขาโดยตรง เมื่อผู้ดำเนินรายการเล่าว่า Aravind หยุดทุกอย่างหลังเวทีเพื่อแก้ไขบั๊กด้วยตัวเอง ซึ่ง Aravind มองว่าการใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ คือวัฒนธรรมที่เขาต้องการสร้าง และดีใจที่เห็นว่าแม้แต่ CEO ของบริษัทใหญ่อย่าง Sundar Pichai ก็เริ่มลงมาตอบปัญหาบั๊กบน X เช่นกัน

จุดกำเนิด Perplexity: จากโปรเจกต์ที่ไม่ชัดเจน สู่คู่แข่งของ Google

Aravind เล่าว่าเขาเริ่มต้นบริษัทโดยยังไม่มีไอเดียที่ชัดเจน ซึ่งสวนทางกับคำแนะนำของ Y Combinator แต่เขาเชื่อว่าในยุคที่ AI เปลี่ยนแปลงเร็ว การยึดติดกับไอเดียเดียวไม่ใช่เรื่องจำเป็น สิ่งสำคัญคือการลงมือสร้างและส่งให้ถึงมือผู้ใช้ให้เร็วที่สุด

โปรเจกต์แรกคือเครื่องมือแปลง Natural Language เป็น SQL (Natural Language to SQL) เพื่อสร้างระบบค้นหาสำหรับฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ โดยเริ่มจากการทำ Twitter Search ที่ดีกว่าเดิม ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้กลุ่มแรกๆ และทำให้พวกเขาเห็นศักยภาพของการผสมผสาน Large Language Model (LLM) เข้ากับการค้นหา

จุดเปลี่ยนสำคัญคือการขยายแนวคิดนี้ไปสู่ “ทั้งเว็บ” โดยเปลี่ยนจากการพยายามจัดโครงสร้างข้อมูลเว็บให้เป็นตาราง ไปเป็นการใช้ความสามารถของ LLM ในการให้เหตุผลและแยกวิเคราะห์ข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้างแทน และนั่นคือจุดกำเนิดของ Perplexity ที่เรารู้จักในปัจจุบัน

ช่วงเวลาที่ทำให้เขามั่นใจจริงๆ คือ คืนวันส่งท้ายปีเก่า ที่มีผู้ใช้งานค้นหาเกือบ 700,000 ครั้ง แม้ว่าผลิตภัณฑ์จะมีชื่อที่เรียกยาก (Perplexity), ทำงานช้า (7 วินาทีต่อคำตอบ) และมีข้อผิดพลาดมากมาย แต่ผู้คนก็ยังใส่ใจที่จะแชร์มัน นั่นคือตอนที่เขารู้ว่า “มีบางอย่างที่เป็นของจริงที่นี่”

จุดอ่อนของ Google คือโอกาสของ Perplexity

ความคิดที่จะแข่งขันกับ Google เกิดขึ้นอย่างจริงจังเมื่อ Google ประกาศเปิดตัว Bard (Gemini ในปัจจุบัน) Aravind ตั้งคำถามว่าทำไม Google ถึงต้องสร้างผลิตภัณฑ์แยก แทนที่จะผนวกรวมเข้ากับ Search ที่มีผู้ใช้งานมหาศาลอยู่แล้ว คำตอบที่เขาค้นพบคือ “ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเจ้าตลาด” (Innovator’s Dilemma)

“ถ้าคุณได้คำตอบโดยตรงสำหรับคำถามเหล่านี้พร้อมลิงก์จองทันที คุณจะทำเงินจาก Booking.com, Expedia, Kayak ได้อย่างไร?… มันไม่เป็นผลประโยชน์ของพวกเขาเลยที่จะให้คำตอบที่ดีแก่คุณ”

โมเดลธุรกิจโฆษณาของ Google กลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถมอบประสบการณ์การค้นหาที่ดีที่สุดได้ นอกจากนี้ ในช่วงปี 2023 สตาร์ทอัพอย่าง Perplexity สามารถเข้าถึงโมเดล AI จาก OpenAI หรือ Anthropic ที่ดีกว่าโมเดลภายในของ Google เอง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน บวกกับความได้เปรียบที่สามารถทำผิดพลาดได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นเหมือนที่ Google เผชิญ ทำให้ Perplexity มีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างมาก

สร้างปราการป้องกัน: แบรนด์, เรื่องเล่า และ Network Effect ผ่านเบราว์เซอร์

เมื่อถูกถามว่าอะไรคือคุณค่าที่ยั่งยืนของบริษัทในยุคที่ใครๆ ก็สร้าง AI ได้ Aravind ชี้ไปที่ 3 สิ่งสำคัญ:

  1. แบรนด์ (Brand): เมื่อบริษัทมีขนาดใหญ่และมีผู้ใช้ที่จ่ายเงินจำนวนมาก มันจะสร้าง “สิทธิ์ที่จะอยู่รอดและสร้างต่อไป”
  2. เรื่องเล่า (Narrative): การสื่อสารว่าทำไมบริษัทถึงต้องมีอยู่ สำหรับ Perplexity คือการมุ่งเน้นที่ ความแม่นยำและความเร็ว อย่างไม่ลดละ
  3. การเคลื่อนที่เร็ว (Speed): ทางออกเดียวคือการส่งมอบสิ่งใหม่ๆ และสร้างตัวตนของตัวเองต่อไป

Aravind ยอมรับว่าผลิตภัณฑ์ AI ในปัจจุบันยังไม่มี Network Effect ที่แข็งแกร่งเหมือน WhatsApp แต่เขาเชื่อว่า เบราว์เซอร์ “Comet” คือกลยุทธ์ที่จะสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา เพราะมันจะผูกติดกับชีวิตประจำวันของผู้ใช้ผ่านประวัติการเข้าชม, รหัสผ่าน, และ Agent ที่ทำงานให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้ผลิตภัณฑ์ “ติดหนึบ” และยากต่อการเปลี่ยนไปใช้เจ้าอื่น

ในด้านความร่วมมือ Perplexity ได้ทำงานร่วมกับพันธมิตรมากมายแล้ว เช่น SelfBook (จองโรงแรม), TripAdvisor (รีวิว), Yelp, Shopify และอีกมากมาย ซึ่งเขาเชื่อว่าเบราว์เซอร์จะทำให้การทำงานร่วมกับบริการอื่นๆ ยืดหยุ่นกว่ามาก เพราะ Agent สามารถโต้ตอบกับเว็บไซต์ได้เหมือนที่มนุษย์ทำ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพา API หรือโปรโตคอลจากบุคคลที่สามเสมอไป

โมเดลธุรกิจและการบริหารในยุค AI

Aravind มองว่าโมเดลธุรกิจของ Perplexity จะมาจาก 3 ส่วนหลัก:

  • ค่าสมาชิก (Subscription): ซึ่งเติบโตได้ดีเกินคาด
  • การจ่ายตามการใช้งาน (Usage-based pricing): สำหรับการใช้ Agent ทำงานที่ซับซ้อน
  • ส่วนแบ่งจากธุรกรรม (Transactions): เมื่อผู้ใช้เริ่มซื้อของผ่าน AI มากขึ้น

เขายอมรับว่าอาจไม่มีทางทำกำไรได้เท่าโมเดลธุรกิจโฆษณาของ Google ซึ่งเขาติดตลกว่า “บางทีมันอาจจะดีเกินไปจนต้องใช้ AI มาทำลายมัน”

ในการบริหารบริษัทที่มีพนักงานราว 200 คน Perplexity บังคับให้พนักงานใช้เครื่องมือ AI ช่วยเขียนโค้ด (เช่น Cursor, GitHub Copilot) ซึ่งช่วยลดเวลาในการทดลองจากหลายวันเหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง และเพิ่มความเร็วในการแก้ไขบั๊กได้อย่างมหาศาล แต่เขาก็ย้ำว่าเครื่องมือเหล่านี้ยังไม่สมบูรณ์และยังต้องการวิศวกรที่มีทักษะพื้นฐานที่แข็งแกร่ง

ช่วงถาม-ตอบ (Q&A)

  • การป้องกันข้อมูลเท็จ (Hallucinations): Aravind กล่าวว่านี่คือสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญสูงสุด โดยจะแก้ไขผ่านการสร้างดัชนีการค้นหาที่ดีขึ้น และใช้โมเดลที่เร็วพอจะทำการให้เหตุผลหลายขั้นตอนเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
  • ถ้าคุณเป็น CEO ของ Google?: เขาตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผมไม่อิจฉางานนั้นเลย” มันเป็นการตัดสินใจที่ยากมากระหว่างการยอมสูญเสียโมเดลธุรกิจเดิมเพื่อผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือการสร้างผลิตภัณฑ์แยกที่ต้องเสียเปรียบด้านการกระจายตัว
  • การแข่งขันกับ Foundation Models: กลยุทธ์คือการ “เลือกสิ่งที่คุณอยากให้คนจดจำ” นั่นคือความเร็วและความแม่นยำ และเดิมพันกับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ยังไม่มีใครทำ ซึ่งก็คือเบราว์เซอร์ “Comet”
  • แรงผลักดันในช่วงเวลาที่ล้มเหลว: Aravind ตอบแบบติดตลกว่า “ผมก็แค่ดูวิดีโอของ Elon Musk ใน YouTube” โดยเฉพาะวิดีโอที่ Musk พูดว่า “ผมไม่เคยยอมแพ้ ผมคงต้องตายหรือไร้ความสามารถไปแล้ว” ซึ่งสะท้อนถึงทัศนคติที่ไม่ยอมแพ้ของเขา
  • ผลกระทบต่อเว็บไซต์อื่นๆ: เขายอมรับว่าเว็บมีลักษณะเป็น Power Law อยู่แล้ว และ AI Search จะทำให้มันชัดเจนยิ่งขึ้น เว็บไซต์ที่พยายามเล่นเกมกับ SEO จะลำบากขึ้น แต่แบรนด์ที่แข็งแกร่งจะยังคงอยู่รอด
  • การจัดการกับความลำเอียง (Bias): สำหรับข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง (Objective Truth) จะพยายามดึงข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือที่สุด ส่วนคำถามที่ไม่มีคำตอบตายตัว จะพยายามนำเสนอทุกมุมมองโดยไม่ตัดสินว่าอะไรถูกหรือผิด
  • กลยุทธ์การเข้าสู่ตลาด (Go-to-market): เริ่มจากกลุ่มที่ใกล้ตัว (เช่น นักเรียน) แล้วค่อยๆ ขยายไปยังกลุ่มที่ติดกัน (Adjacencies) โดยอาศัยความร่วมมือกับธุรกิจอื่นเพื่อเข้าถึงผู้ใช้ในวงกว้างขึ้น

คำแนะนำสุดท้ายที่ Aravind ฝากถึงผู้ประกอบการคือ “ทำงานหนัก” และยอมรับความจริงที่ว่าหากผลิตภัณฑ์ของคุณดีพอ บริษัทใหญ่ๆ จะลอกเลียนแบบอย่างแน่นอน ปราการเดียวที่คุณมีคือความเร็วและการสร้างตัวตนของตัวเองขึ้นมาให้ได้

ฟัง Session ได้ที่: Aravind Srinivas: Perplexity’s Race to Build Agentic Search

อ่านบทสัมภาษณ์ Aravind Srinivas ซีอีโอ Perplexity เผยกลยุทธ์ท้าชน Google และ OpenAI ด้วย “ความเร็ว” และวิสัยทัศน์เบราว์เซอร์ AI  Tech & Biz Techsauce

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *