
ถ้าพูดถึงชื่อ “Logitech” หลายคนนึกถึงเมาส์ คีย์บอร์ด หรือเว็บแคมที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานที่บ้านหรือออฟฟิศ แต่รู้ไหมว่าเบื้องหลังบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ระดับโลกนี้ เคยเริ่มต้นจากบริษัทซอฟต์แวร์เล็ก ๆ ในโรงนาที่สวิตเซอร์แลนด์ และไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาทำ ‘เมาส์’ ตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ
เรื่องราวของ Logitech ไม่ได้เป็นแค่เรื่องเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของวิสัยทัศน์ การเห็นโอกาสก่อนใคร และความกล้าที่จะเปลี่ยนทิศทางกลางทาง เพื่อก้าวไปสู่สิ่งที่แม้แต่ตัวพวกเขาเองก็ไม่คาดคิด บทความนี้จะพาไปรู้จักกับ 4 ยุคสำคัญที่เป็นจุดเปลี่ยนของ Logitech ซึ่งช่วยให้พวกเขาก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์ที่ทุกคนรู้จักในวันนี้
ยุคที่ 1: จากอดีตบริษัทซอฟต์แวร์ สู่ผู้ผลิตเมาส์
ย้อนกลับไปช่วง 1980s ตอนนั้นคอมพิวเตอร์ยังเป็นของใหม่สำหรับคนทั่วไป สามหนุ่มนักพัฒนาจากอิตาลีและสวิตเซอร์แลนด์ Daniel Borel, Pierluigi Zappacosta และ Giacomo Marini ตัดสินใจเปิดบริษัทตัวเองและเริ่มต้นบริษัทเล็ก ๆ ในหมู่บ้านชื่อ Apples ด้วยเป้าหมายว่าจะทำซอฟต์แวร์สำหรับงานกราฟิกหรือการประมวลผลคำ
ชื่อบริษัทตอนนั้นก็ยังไม่ได้คิดถึงฮาร์ดแวร์เลยด้วยซ้ำ คำว่า Logitech มาจาก “Logiciel” ที่แปลว่าซอฟต์แวร์ในภาษาฝรั่งเศส บวกกับคำว่า “Technology” แต่ระหว่างทางพวกเขาไปเห็นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่เรียกว่า “เมาส์” ซึ่งในเวลานั้นดูเป็นของแปลกใหม่อยู่มาก มันไม่ใช่สิ่งที่มีขายทั่วไป และไม่มีใครแน่ใจว่ามันจะมีประโยชน์แค่ไหน
แต่ทั้งสามคนกลับมองเห็นว่าเมาส์คือ “กุญแจสำคัญ” ที่จะทำให้การใช้ซอฟต์แวร์กราฟิกกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นทันตา จากเดิมที่คนต้องพิมพ์คำสั่งผ่านคีย์บอร์ด หากมีอุปกรณ์ที่ชี้แล้วคลิกได้ก็คงเปลี่ยนวิธีที่คนใช้คอมพิวเตอร์ไปตลอด พวกเขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนแผนทั้งบริษัท และพับโปรเจกต์ซอฟต์แวร์ไว้แล้วหันมาทำเมาส์เต็มตัว
ในช่วงแรก Logitech ไม่ได้เริ่มจากการขายสินค้าในแบรนด์ตัวเองแต่เลือกที่จะเป็นผู้ผลิตเบื้องหลังให้บริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Ricoh และ HP โดยเฉพาะการดีลกับ HP ในปี 1984 ที่แม้จะทำกำไรได้น้อยมากๆ แต่ก็เป็นใบเบิกทางสำคัญ ทำให้ Logitech มีรายได้ก้อนใหญ่ และได้พิสูจน์ตัวเองในวงการฮาร์ดแวร์ระดับโลก หลังจากสั่งสมประสบการณ์ พวกเขาก็ออกมาอยู่เบื้องหน้าและเปิดขายเมาส์ในชื่อของตัวเอง โดยรุ่นแรกมีชื่อว่า Logitech C7 ที่เปิดตัวช่วงปลายปี 1985 แม้จะไม่มีการโปรโมตที่หวือหวา แต่ก็ขายหมด 800 ตัวภายในเดือนเดียว ต่อจากนั้นชื่อของ Logitech ก็เริ่มถูกพูดถึงในตลาดผู้ใช้ทั่วไปมากขึ้นเรื่อย ๆ
ยุคที่ 2: Logitech กับยุคที่เทคโนโลยีเริ่มเข้าถึงทุกบ้าน
เมื่อคอมพิวเตอร์ (PC) เริ่มได้รับความนิยมและกลายเป็นของที่ต้องมีในทุกบ้าน ทุกสำนักงาน Logitech ก็เติบโตอย่างก้าวกระโดด พวกเขาไม่ได้หยุดแค่ความสำเร็จของเมาส์ แต่เริ่มขยายอาณาจักรเพื่อครองตลาดอุปกรณ์เดสก์ท็อปให้ได้มากที่สุด ทั้งคีย์บอร์ด, สแกนเนอร์มือถือ, ลำโพง, และอุปกรณ์สำหรับเกมพีซี
ในยุคนี้ Logitech ได้สร้างนวัตกรรมเยอะมาก และพวกเขาคือหนึ่งในบริษัทแรก ๆ ที่ทำเมาส์ไร้สาย ใช้คลื่นวิทยแทนสาย และยังพัฒนาเมาส์ออปติคอลที่ไม่ต้องใช้แผ่นรองอีกด้วย ที่สำคัญพวกเขายังขยับไปทำสิ่งที่หลายคนยังมองไม่เห็นมูลค่าในตอนนั้น เช่น การซื้อกิจการเว็บแคมชื่อ QuickCam จากบริษัท Connectix ในปี 1998 เว็บแคมตัวนี้เคยเป็นหนึ่งในนวัตกรรมล้ำยุคช่วงนั้น และต่อมากลายเป็นหนึ่งในสินค้ายอดนิยมของ Logitech
ในปี 1998 บริษัทยังได้ต้อนรับ CEO คนใหม่ Guerrino De Luca อดีตผู้บริหารจาก Apple ผู้ซึ่งนำปรัชญาด้านการออกแบบที่สวยงามและใช้งานง่ายเข้ามาสู่ Logitech ทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทไม่ได้มีดีแค่ฟังก์ชัน แต่ยังมีสไตล์ที่น่าจับจองเป็นเจ้าของมากขึ้นด้วย
ยุคที่ 3: Logitech บุกตลาดใหม่ด้วยการเข้าซื้อกิจการ
เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคอินเทอร์เน็ต แล็ปท็อป และสมาร์ทโฟน ตลาด PC ตั้งโต๊ะแบบดั้งเดิมเริ่มถูกท้าทาย Logitech รู้ดีว่าการยึดติดแค่เมาส์และคีย์บอร์ดอาจทำให้บริษัทไม่รอด พวกเขาจึงเริ่มใช้กลยุทธ์ “เข้าซื้อกิจการ” เพื่อขยายอาณาจักรไปยังตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพสูง ซึ่งนี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ Logitech ยังคงยิ่งใหญ่มาจนถึงทุกวันนี้ การเข้าซื้อกิจการครั้งสำคัญในยุคนี้ได้แก่:
ปี 2001 – ซื้อ Labtec นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Logitech กระโดดเข้ามาในโลกของ “เครื่องเสียง” อย่างจริงจัง และเริ่มผลิตลำโพงคอมพิวเตอร์กับหูฟังออกสู่ตลาด
ปี 2004 – ซื้อ Intrigue Technologies ดีลนี้ทำให้ Logitech ได้เทคโนโลยีรีโมตอัจฉริยะ Harmony Remotes มาครอง ซึ่งสามารถควบคุมอุปกรณ์บันเทิงทุกชิ้นในบ้านได้ในอันเดียว ถือเป็นครั้งแรกที่สินค้าของ Logitech ก้าวจากโต๊ะคอม
ปี 2008 – ซื้อ Ultimate Ears (UE) เริ่มต้นจากการซื้อแบรนด์หูฟังคัสตอมที่ศิลปินดังๆ ระดับโลกใช้กัน จากนั้นนำมาต่อยอดเป็นลำโพงพกพาซีรีส์ “UE Boom” ที่ฮิตถล่มทลายและกลายเป็นสินค้าขายดีไปทั่วโลก
ปี 2016 – ซื้อ Jaybird เป็นการบุกตลาดหูฟังไร้สายสำหรับ “สายสปอร์ต” โดยเฉพาะ ทั้งคนชอบวิ่งและคนรักการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในตอนนั้น
ปี 2017 – ซื้อ Astro Gaming เพื่อเสริมทัพในโลกของเกมให้แข็งแกร่งขึ้น Logitech ได้ดึงแบรนด์อุปกรณ์เกมมิ่งเกรดพรีเมียมอย่าง Astro เข้ามา ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างสูงในกลุ่มคนเล่นเกมคอนโซล (PlayStation, Xbox)
ปี 2018 – ซื้อ Blue Microphones Logitech คว้าแบรนด์ไมโครโฟนในตำนานอย่าง “Blue” เจ้าของไมค์รุ่นฮิตตลอดกาลอย่าง Yeti และ Snowball มาครอง โดยเฉพาะรุ่น Yeti ที่กลายเป็นไมค์คู่ใจอันดับ 1 ของเหล่า YouTuber และ Podcaster ทั่วโลก ดีลนี้ส่งให้ Logitech ก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดสำหรับ “สาย Content Creator” ในทันที
ปี 2019 – ซื้อ Streamlabs ปีถัดมา Logitech ก็ตอกย้ำความเป็นเจ้าตลาดสาย Creator ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ด้วยการซื้อ Streamlabs ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์สำหรับไลฟ์สตรีมที่สตรีมเมอร์ทั่วโลกต้องมีและไว้วางใจ
ยุคที่ 4: COVID-19 กับช่วงเวลาที่เปลี่ยนเกม
ใครจะไปคิดว่าวิกฤตการณ์ระดับโลกอย่างการระบาดของ COVID-19 จะกลายเป็นลมใต้ปีกที่ส่งให้ Logitech ทะยานสูงขึ้นไปอีก เมื่อคนทั้งโลกต้อง Work from Home และ Learn from Home ความต้องการเว็บแคมคุณภาพสูง ไมโครโฟนที่คมชัด เมาส์และคีย์บอร์ดที่ใช้งานถนัดมือก็พุ่งสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สินค้าของ Logitech ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ถูกค้นหามากที่สุดในตลาด เพราะสินค้าของพวกเขาเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมี และกลยุทธ์การขยายผลิตภัณฑ์ที่ทำมาตลอดหลายปีก็เริ่มเห็นผลลัพธ์ชัดเจน
สรุป
จากบริษัทซอฟต์แวร์เล็ก ๆ ในโรงนา Logitech ค่อย ๆ เติบโตจากการตัดสินใจที่กล้าหาญหลายครั้ง ตั้งแต่การหันมาทำเมาส์ ไปจนถึงการขยายธุรกิจผ่านการเข้าซื้อกิจการหลากหลาย วันนี้ Logitech ไม่ได้หยุดแค่การเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ แต่ยังเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญที่ตอบโจทย์การทำงาน เล่นเกม และสร้างคอนเทนต์ในยุคดิจิทัล
บทความนี้จะพาไปรู้จักกับ 4 ยุคสำคัญที่เป็นจุดเปลี่ยนของ Logitech ซึ่งช่วยให้พวกเขาก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์ที่ทุกคนรู้จักในวันนี้ Based On Techsauce