AI Club by Techsauce ‘Exclusive Dinner Talk’ คอมมูนิตีที่ผู้นำ ผู้บริหารระดับสูงจากอุตสาหกรรมต่างๆ มาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้เรื่อง AI ในธีมที่ต่างกันออกไป ซึ่งจัดขึ้นทุกไตรมาส โดย 3 องค์กรที่ให้ความสำคัญในเรื่องการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและการสร้างเครือข่ายผู้นำรุ่นใหม่ ได้แก่ BE8, Scoutout และ Techsauce
คุณอรนุช เลิศสุวรรณกิจ ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Techsauce เป็นผู้กล่าวต้อนรับ
(จากซ้าย) คุณอภิเษก เทวินทรภักติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ BE8 และ ดร.ธนกร หวังพิพัฒน์วงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM
สำหรับ AI Club by Techsauce ‘Exclusive Dinner Talk’ ครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นครั้งล่าสุด จัดขึ้น ณ โรงแรมคิมป์ตัน มาลัย กรุงเทพฯ โดยมีแขกพิเศษ ดร.ธนกร หวังพิพัฒน์วงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM มาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการใช้ AI ในองค์กรในอีกแง่มุมหนึ่ง
AI จะพลิกโฉมธุรกิจและความเป็นมนุษย์อย่างไร
คุณอภิเษก เทวินทรภักติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ BE8 กล่าวเปิดงานด้วย Keynote ในประเด็น ‘How AI Will Transform Business & Humanity’ (AI จะพลิกโฉมธุรกิจและความเป็นมนุษย์อย่างไร)
คุณอภิเษกกล่าวถึงภาพรวมของ AI ว่าเข้ามาสร้างผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์ได้อย่างไรบ้าง โดยเกริ่นถึงพัฒนาการของ AI, ศักยภาพกับการประยุกต์ใช้ในหลากหลายด้าน แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะ AI จะฉลาดล้ำสักแค่ไหนก็ยังขาดความรู้สึก (Feeling) แบบมนุษย์
- AI Companionship มาเป็นที่หนึ่ง
ในด้าน Use case อันดับหนึ่งของการใช้ AI ณ ปี 2025 คุณอภิเษกกล่าวชัดว่า มีการใช้งานใช้งาน AI เป็น AI Companionship (เพื่อนคุย เพื่อนคู่คิด) มากที่สุด โดยยกตัวอย่างบริษัทที่ให้บริการ AI Companionship ชื่อดัง อาทิ Replika เพื่อนคุยที่สามารถคุยได้ทุกเวลาที่ต้องการ โดยไม่ทำให้รู้สึกกดดัน รับฟังแบบไม่ตัดสิน, Character.Ai เพื่อนคู่คิดที่ผู้ใช้งานสามารถสร้างคาแรกเตอร์คนดังมาเป็น AI ได้ตามต้องการ เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, อับราฮัม ลินคอล์น
แต่การใช้เทคโนโลยีใดๆ สร้างผลกระทบได้ทั้งแง่บวกและลบ ตัวอย่างในแง่ลบก็เช่น เคสคุณแม่ฟ้องร้อง Character.Ai จากเหตุลูกชายในวัย 16 ปี สร้างคาแรกเตอร์บน Character.Ai มาเป็นเพื่อนคุยจนสนิทสนม แต่สุดท้ายการพูดคุยกับ AI กลับนำไปสู่การตัดสินใจจบชีวิตตัวเองของเด็กชาย ดังนั้น การใช้ชีวิตในยุค AI มนุษย์ยิ่งต้องรู้เท่าทัน AI หรือมี AI Literacy

- AI Revolution มาถึงแล้ว
ในขณะที่มนุษย์ผ่านการปฏิวัติ (Human Revolution) มากถึง 24 ด้าน อาทิ การใช้ไฟฟ้า, การใช้ภาษา, เครื่องจักรไอน้ำ, อินเทอร์เน็ต, ดิจิทัล, AI ส่วน AI ปฏิวัติด้วยการใช้งานได้แบบ General Purpose คือ ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ยิ่งเมื่อ AI คิดได้เอง ทั้งยังฉลาดกว่ามนุษย์ในหลายด้าน อาทิ ด้านความจำ ความคิดสร้างสรรค์ การตัดสินใจ ยิ่งส่งผลให้มีอัตราการปรับใช้ (Adoption Rate) AI เพิ่มแบบติดสปีด โดยใช้เวลาเพียง 2 เดือน ก็มีจำนวนผู้ใช้งานแตะ 100 ล้านราย เร็วกว่าอัตราการปรับใช้อินเทอร์เน็ตที่กว่าจะมีผู้ใช้งาน 100 ล้านราย ใช้เวลานานถึง 7 ปี
ปัจจุบันมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลก 5.6 พันล้านราย ขณะที่มีผู้ใช้งาน AI แล้วราว 400-600 ล้านราย และด้วยผลงาน (Performance) ของ AI ที่พัฒนาขึ้นเป็นเท่าตัว (Double) ทุกๆ 6 เดือน กับราคาที่จ่ายให้โมเดลตัวเดียวกันถูกลงปีละ 70% คาดการณ์กันว่าจะมีผู้ใช้งาน AI แตะหลัก 1,000 ล้านรายภายในสิ้นปี 2025 และจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ถึง 15.7 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030
- AI ได้รับการพัฒนาจนชาญฉลาด ขณะเดียวกันก็น่าหวาดหวั่น
คุณอภิเษกยกตัวอย่างความก้าวหน้าของ AI โดยเล่าว่า “ทุกวันนี้ AI ดูดความรู้จากอินเทอร์เน็ตเกือบหมดแล้ว บางทีมันอาจจะไม่ได้เข้าใจความหมายหรือไม่ได้เข้าใจคําถามขนาดนั้น แต่มันตอบออกไปเลย บริษัท Scale AI จึงติดต่อไปยังโปรเฟสเซอร์ในแต่ละมหาวิทยาลัย แล้วให้โปรเฟสเซอร์ช่วยกันใส่คําถามที่แต่ละคนคิดว่า เป็นคําถามที่ยากที่สุดที่เคยเจอ เพื่อสร้าง ‘Humanity’s Last Exam’ (คำถามในขั้นสุดท้ายโดยมนุษย์) ให้มันเกิดขึ้น ซึ่งตอนแรก AI ตอบได้ 7% แต่ล่าสุดตอบได้ 20% แล้ว”
ต่อด้วยการยกชื่อ Geoffrey Hinton คนที่ได้รางวัลโนเบลและได้สมญานามว่าเป็น ‘Godfather of AI’ ซึ่งเป็นคนที่คิด AI ในช่วงเริ่มต้นให้กับ Google ซึ่งในปี 2023 เขาตัดสินใจลาออกจาก Google แล้วเลิกพัฒนา AI เพราะมองว่าตราบใดที่ยังไม่มีนโยบายควบคุมพัฒนาการและความปลอดภัยจากการใช้ AI มนุษย์จะไม่สามารถดึงปลั๊กหรือตัดการทำงานได้หมด และ AI อาจสร้างเรื่องที่อันตรายเกินไป เช่น นำ AI ไปใช้ในทางที่ผิด (Potential for Misuse) อย่างการทำ Cyber Attack, การใช้ AI สร้างตัวตนขึ้นมาจากรูปกับเสียง Generate ออกมาเป็นคลิปวิดีโอ Deepfake หลอกให้หลงเชื่อ
“หากวันหนึ่ง AI ฉลาดมากจนมีความต้องการที่ไม่ไปด้วยกันกับความต้องการของมนุษย์ มันอาจเข้ามาควบคุมและอาจถึงขั้นปฏิเสธการ Shut Down ได้”
นอกเหนือจากนี้ มีผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญด้าน AI กล่าวไว้ว่า ถ้า AI ได้รับการพัฒนาจนอยู่เหนือการควบคุมหรือใช้ในทางที่ผิด อาจพัฒนา AI ไปเป็น AI ที่ฉลาดร้ายแบบ ‘Skynet’ ในภาพยนตร์เรื่อง Terminator
- อิมแพ็กของ AI มีหลายมุมให้มอง
คุณอภิเษกกล่าวถึง AI ว่า สร้างผลกระทบได้ในหลายมุมมอง อาทิ มุมมองในด้าน ภูมิรัฐศาสตร์
Dario Amodei ซีอีโอของบริษัทเทคโนโลยีชื่อดัง Anthropic ผู้พัฒนาโมเดล Claude บอกว่า จากที่แต่ละประเทศสะสมอาวุธ จะกลายเป็นแต่ละประเทศสะสม AI ลองคิดดูว่าถ้ามี AI อยู่ใน Data Center แห่งหนึ่ง จำนวนหนึ่งล้านตัว แต่ละตัวมีความรู้ระดับ PhD. (ปริญญาเอก) ในแต่ละด้าน และยังทํางาน 24×7 ดังนั้น มันจะเป็นอาวุธสำคัญที่สุด เพราะมันจะสามารถควบคุมระบบ ทำงานได้อัตโนมัติ อย่างพวกโดรน ขีปนาวุธ ก็สามารถควบคุมและตัดสินใจด้วย AI ได้เลย
ในด้าน การทำงาน ที่ถามกันว่า AI จะมาแทนที่คนหรือเปล่า คุณอภิเษกบอกว่ามีอยู่ 3 มุมมอง ได้แก่ 1) AI จะเข้ามาแทนที่คน 100% 2) AI จะเข้ามาแทนที่คนมหาศาล และ 3) คนที่ไม่ใช้ AI จะถูกแทนที่ด้วยคนที่มีทักษะการใช้ AI โดยข้อมูลจาก WEF ระบุว่า AI จะทำให้ 85 ล้านตำแหน่งงานหายไปภายในปี 2025 และในขณะที่ทั้งโลกมีอยู่ 1,080 อาชีพ 96% ของอาชีพจะถูก AI ดิสรัปต์ไม่มากก็น้อย นั่นหมายความว่า อาชีพที่เหลืออยู่และ AI ไม่สามารถทำแทนได้นั้น จะมีอยู่ราว 36 อาชีพ ซึ่งเป็นอาชีพที่เน้นการใช้ร่างกาย อาทิ นักกีฬา ไม่ว่าจะเป็นนักฟุตบอล นักบาสเก็ตบอล
ในด้าน ธุรกิจ คุณอภิเษกยกตัวอย่าง Use Cases การใช้ AI ในการดำเนินธุรกิจ เช่น ใช้ในคอนเซ็ปต์ Dark Factory คือ โรงงานที่มีแต่ AI, Robotics, IoT จึงไม่ต้องเปิดไฟในโรงงานเพราะไม่มีมนุษย์, ใช้เป็น Multi Agent Simulation คือ การสร้าง AI Agent มาช่วยงานหรือช่วยจำลองสถานการณ์ เช่นถ้าใช้กับการเลือกตั้ง อาจสร้าง AI Agent เป็นหมื่นเป็นแสนตัวมาจำลองผลการเลือกตั้ง

- เทียบศักยภาพ AI กับซูเปอร์ฮีโร่
ด้านศักยภาพของ AI คุณอภิเษกเปรียบเทียบ AI กับซูเปอร์ฮีโร่ในจักรวาลมาร์เวล เช่น เทียบ AI กับ Ultron ในด้าน ความสามารถในการเรียนรู้ อย่างการอ่านหนังสือ ถ้าคนอ่านหนังสือวันละ 15 นาที ต้องใช้เวลา 70 ปี จึงจะอ่านได้ 1,000 เล่ม ซึ่งถ้าให้ AI อ่านหนังสือ 1,000 เล่ม จะใช้เวลา 5 เดือน แต่ถ้าให้ AI 167 ตัว อ่านหนังสือ 1,000 เล่ม จะใช้เวลาเพียง 1 วัน, เทียบ AI กับซูเปอร์ฮีโร่ Javis ในด้าน การหาแพทเทิร์น, การหาเทรนด์, การทำงานสร้างสรรค์ ซึ่งทำงานได้ 24×7 โดยไม่เหน็ดเหนื่อยและไม่มีอคติ
- Use Case ที่ BE8 ทำให้ลูกค้า
คุณอภิเษกยกตัวอย่างการช่วยทำ Invoice ให้ลูกค้า ว่าลูกค้าที่ต้องรับ 1,000-2,000 Invoice ทุกเดือนจากซัพพลายเออร์ ตามปกติต้องให้พนักงานเปิดอีเมล เช็กความถูกต้องของไฟล์ในระบบ SAP ว่าแมตช์กับเลขที่ใบสั่งซื้อ (PO Number) หรือไม่ รายการสินค้า มูลค่า ตรงกันหรือเปล่า โดยสิ่งที่ BE8 เข้าไปทำคือ ใช้ AI อ่านอีเมลให้ สแกนไฟล์แบบ OCR (Optical Character Recognition หรือ เทคโนโลยีรู้จำตัวอักษร) คือ สแกนไฟล์หรือเอกสารแล้วถอดออกมาเป็นข้อความได้อย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจาก AI อาจไม่เข้าใจในบางคอนเทนต์เพราะ Invoice ของซัพพลายเออร์แต่ละเจ้ามีรูปแบบที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น BE8 จึงพัฒนา AI เพิ่มเพื่อให้ AI เข้าใจบริบท (Context) ของ Invoice ที่ลูกค้าได้จากแหล่งต่างๆ
“Invoice ของแต่ละซัพพลายเออร์มีฟอร์แมตไม่เหมือนกัน พอไม่เหมือนกันปุ๊บ มันต้องเข้าใจคอนเทนต์ ถ้ามันเข้าใจ นำข้อมูลไปเทียบกับระบบ SAP เสร็จปุ๊บไปคีย์ข้อมูลอัตโนมัติให้ จากที่แต่ละ Invoice หนึ่งใบ พนักงานใช้เวลาทำประมาณ 5-10 นาที สมมติ 1,000 ใบ ต้องใช้เวลา 5,000-10,000 หมื่นนาทีถึงจะเสร็จ เมื่อใช้ AI ช่วย ทำให้การออก Invoice 1,000 ใบจบได้ภายใน 5-10 นาที นั่นคือเราเซฟเวลาไป 5,000-10,000 นาที”
คุณอภิเษกกล่าวสรุปว่า AI ไม่ได้มาแทนที่คน แต่จะมาแทนที่ทักษะและความรู้ของคน และแนะนำว่าองค์กรควรใช้ AI ในงาน 3 แบบ คือ 1) งานที่คนไม่อยากทำ 2) งานที่คนทำไม่ได้ และ 3) งานที่องค์กรใช้ Outsource อยู่ และปิดท้ายด้วยการแชร์ประสบการณ์การใช้โมเดล AI ช่วยเขียนหนังสือ ทั้ง Perplexity, Claude, Gemini, ChatGPT และ NotebookLM ว่าใช้คำสั่งไปเกือบ 1,000 Prompts ในเวลา 40 ชั่วโมง ก็เขียนออกมาเป็นหนังสือ 200 หน้าได้!
พลิกโฉมธุรกิจด้วย AI ในภาคปฏิบัติ

ด้วยบทบาทหน้าที่ที่ต้องนำทีมทำ AI Transformation ให้องค์กร ดร.ธนกร หวังพิพัฒน์วงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM แขกพิเศษที่มาบรรยายในหัวข้อ ‘AI Transformation in Practice’ (พลิกโฉมธุรกิจด้วย AI ในภาคปฏิบัติ) เปิดเผยว่า การเลือกใช้ AI ควรทำใน Use Case ที่มีผลกระทบต่อองค์กรสูงและเป็นสิ่งที่สามารถทำได้เอง ไม่ต้องพึ่งพาการดำเนินงานเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงโดยคนจำนวนมาก
- สรุปปัจจัยที่มีผลต่อการทำ AI Transformation ในองค์กรให้สำเร็จ ดังนี้
- ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน องค์กรต้องมีเป้าหมายชัดเจนว่าใช้งาน AI ด้านไหน ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพหรืออะไร จะเลือกใช้แอปพลิเคชันหรือโมเดล AI ตัวใด และจะสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจได้อย่างไร พร้อมทั้งสื่อสารให้ทุกคนในองค์กรเข้าใจสิ่งที่องค์กรต้องการและเป้าหมายจากการใช้ AI
- มีการจัดเก็บข้อมูลเพียงพอ องค์กรต้องจัดเก็บและจัดการข้อมูลเพียงพอและมีคุณภาพ ตรงตามความต้องการของโมเดล AI ที่เลือกใช้ เพราะถ้าไม่มีข้อมูลเพียงพอ AI ก็มักจะให้คำตอบได้ไม่ดีหรือไม่ถูกต้อง และอย่างไรก็ตาม ต้องมีคนตรวจสอบความถูกต้องแม่นยำในตอนท้ายด้วย
- บริหารความเปลี่ยนแปลงและสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานได้ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงระบบงานเพราะต้องทำโปรเจกต์ AI อาจสร้างความไม่พอใจหรือถูกต่อต้านจากพนักงานได้ องค์กรจึงต้องทำให้พนักงานมีส่วนร่วมในกระบวนการเปลี่ยนแปลงและชี้ให้เห็นถึงคุณค่าที่ AI ทำให้ได้
- มีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้าน AI หากองค์กรไม่มีทีมที่มีทักษะและประสบการณ์ในการพัฒนาและดูแลโปรเจกต์ AI งานนั้นๆ ก็มักจะมีปัญหาตามมา ดังนั้น องค์กรควรพัฒนาทีมที่มีความเชี่ยวชาญ โดยลงทุนในทีมงานพนักงานที่มีทักษะและประสบการณ์ในการพัฒนา AI หรือจัดฝึกอบรมให้พนักงานเพิ่ม
- คาดหวังด้านผลลัพธ์อย่างเหมาะสม การทำโปรเจกต์ AI ส่วนใหญ่มักคาดหวังผลลัพธ์ว่า จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและสุดท้ายหวังว่าจะเป็นระบบอัตโนมัติทั้งหมด แต่อันที่จริงการทำโปรเจกต์ต้องอาศัยเวลาในการดำเนินงาน และไม่ใช่งานทั้งหมดที่ AI จะทำได้อย่างอัตโนมัติ องค์กรจึงควรคาดหวังผลลัพธ์ในระดับที่เหมาะสม วัดผลการดำเนินงานได้ โดยอาจเริ่มต้นจากการทดสอบใช้งานในกลุ่มเล็กๆ ก่อนที่จะขยายไปสู่การใช้งานในวงกว้าง

- Use Case ที่ BAM ใช้อำนวยความสะดวกให้ลูกหนี้
ด้วยธุรกิจของ BAM เกี่ยวข้องกับการประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์และการประนอมหนี้ ดร.ธนกรเล่าถึงการใช้ AI และ Big Data ช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าหรือลูกหนี้ว่า ในด้านการประเมินราคาทรัพย์สิน จะใช้ข้อมูล 25 ปีที่เคยขายอสังหาริมทรัพย์มือสอง มาสร้างโมเดล AI ที่สามารถทำนายราคาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่นั้นๆ ได้อย่างแม่นยำ ส่วนการประนอมหนี้ BAM จะนำข้อมูล 25 ปีของลูกหนี้มาเข้าโมเดล AI เพื่อวิเคราะห์ว่า ลูกหนี้จะสามารถปิดบัญชีได้ด้วยวิธีไหน โดยลูกหนี้ไม่ต้องมาที่บริษัทแต่ใช้วิธีสแกนคิวอาร์โค้ด เข้ากระบวนการยืนยันตัวตน จากนั้นให้ระบบบอกว่า จากกำลังความสามารถของลูกหนี้ จะสามารถประนอมหนี้ได้ด้วยตัวเลขเท่าไหร่ จบเมื่อไหร่ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ลูกหนี้ชำระได้สำเร็จตามเป้า
หรือหากลูกหนี้เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) กล่าวคือ ไม่มีกำลังจ่าย หาก BAM จะซื้อหนี้ที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ต่อ ต้องจ่ายเท่าไหร่ ทาง BAM ก็จะเริ่มจากนำหลักประกันทั้งหมดในช่วง 25 ปีของลูกหนี้ เข้าไปเทรนโมเดล AI อีกด้านก็จะใช้ AI ค้นหาราคาอสังหาฯ ในอินเทอร์เน็ตว่า พื้นที่ที่สนใจมีราคาเท่าไหร่ ราคาแต่ละเดือนเป็นอย่างไร แล้วให้โมเดลคาดการณ์ราคาจากมูลค่าของหลักประกันกับข้อมูลต่างๆ ที่ AI ประมวลผลออกมาให้ ว่าควรซื้อหนี้ที่ตัวเลขไหนจึงจะเหมาะสม เพื่อสร้างประโยชน์หรือผลกำไรให้บริษัทได้ต่อไป

นอกเหนือจาก Keynote ภายในงาน AI Club ยังมี ‘Exclusive Fireside Chat’ ซึ่งมี คุณอภิเษก เทวินทรภักติ ซีอีโอ BE8, คุณวิภพ ฤชุตระกูล ผู้อำนวยการและที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี BE8 และ ดร.ธนกร หวังพิพัฒน์วงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล BAM มาร่วมเสวนา โดยมี คุณอรนุช เลิศสุวรรณกิจ ซีอีโอ Techsauce เป็น Moderator
AI CLUB by Techsauce คอมมูนิตีแลกเปลี่ยนความรู้ที่จัดขึ้นแบบ Exclusive นี้ จึงเป็น Magnet ที่ดึงดูดผู้นำหรือผู้บริหารซึ่งมีความสนใจร่วม 3 ประการมารวมตัวกัน ได้แก่ การใช้/ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ขับเคลื่อนธุรกิจ, การสร้างเครือข่ายที่เชื่อมโยงผู้นำและผู้บริหารระดับสูงจากหลายอุตสาหกรรมเข้าด้วยกัน และการสนับสนุนให้คนไทย ผู้ประกอบการไทยมี AI Literacy หรือ ความรอบรู้และทักษะการใช้ AI อย่างชาญฉลาด เพื่อร่วมพัฒนาประเทศต่อไป
AI Club by Techsauce ‘Exclusive Dinner Talk’ คอมมูนิตีแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 มีประเด็นอะไรน่าสนใจบ้าง ติดตามได้ในบทความนี้ Tech & Biz Techsauce