เพราะโลกร้อน รอไม่ได้! KBank จัดงาน EARTH JUMP 2025 นำทัพฝ่ากระแสป่วน ชวนภาคธุรกิจร่วมเส้นทาง Net Zero

แม้ผู้นำประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา จะไม่เชื่อเรื่องโลกร้อน ไม่แคร์เรื่องความยั่งยืน ถอนชื่อออกจาก Paris Agreement และยังเปลี่ยนนโยบายไปเพิ่มการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล แต่หลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ก็ยังคงมุ่งหน้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเดินสู่เป้าหมาย Net Zero เพียงแต่ว่า… แผนการดำเนินงานอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนหรือล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้ 

EARTH JUMP‘EARTH JUMP 2025’ จัดขึ้นโดย KBank และพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ภายในงานมีวิทยากรชั้นนำในไทยและระดับโลกกว่า 50 คน มาร่วมเวทีเปิดวิสัยทัศน์และเวทีถอดบทเรียนธุรกิจและนวัตกรรม ทั้งยังมีเวิร์กช็อปให้ผู้สนใจได้เข้าร่วม และมี Net Zero Solutions ที่หลายองค์กรนำมาจัดแสดงผ่านบูธต่างๆ เพื่อร่วมผลักดันธุรกิจไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ สำหรับประเทศไทย กำหนดเส้นทางสู่ ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emissions) ในปี 2065 โดยหน่วยงานภาครัฐจัดทำหลายนโยบายและโครงการเพื่อเป็นกลไกสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ยกตัวอย่าง NDC : Nationally Determined Contribution ซึ่งอยู่ระหว่างร่างแผนการมีส่วนร่วมของประเทศ NDC 3.0, ร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาและจะส่งผลให้เกิด กองทุนภูมิอากาศ (Climate Fund) ขึ้น, T-VER : Thailand Voluntary Emission Reduction Program โครงการลดก๊าซเรือนกระจกที่องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศโดยความสมัครใจ แล้วนำปริมาณการลดการปล่อยก๊าซที่เรียกว่า ‘คาร์บอนเครดิต’ ไปขายในตลาดคาร์บอนได้ ฯลฯ

ฝั่งเอกชน เนื่องจากเทคซอสมีโอกาสเข้าร่วมงาน ‘EARTH JUMP 2025’ ฟอรั่มแห่งปีที่ ธนาคารกสิกรไทย (KBank) จัดขึ้น และได้รับฟังการเสนอแนวทางและโซลูชันให้ภาคธุรกิจไทยใช้ฝ่าวิกฤตโลกร้อน ภัยพิบัติ สงครามการค้า ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และแต้มต่อที่นำไปใช้ได้ในสภาวการณ์ที่โลกเต็มไปด้วยความแปรปรวนรอบด้าน และเล็งเห็นว่า เป็นแบบอย่างให้องค์กรธุรกิจนำไปประยุกต์ใช้ต่อได้ จึงคัดเลือกบางประเด็นจากงานมาบอกเล่าต่อ (จากบทความ เตือนรับมือ Climate และสารพัด Crisis พร้อมประเด็นควรรู้ จากงาน EARTH JUMP 2025) ดังนี้

KBank แนะธุรกิจไทยลดโลกร้อน ฮึดสู้ความปั่นป่วน ด้วย K-Climate Solutions

EARTH JUMP 2025ในงาน Earth Jump 2025 คุณขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย ขึ้นกล่าววิสัยทัศน์โดยเกริ่นถึงปัญหาและความท้าทายที่ถาโถมประเทศไทยรอบด้าน อาทิ ความขัดแย้งจากภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า ภัยพิบัติ อุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้น โรคระบาด เศรษฐกิจตกต่ำ การเข้ามาของ AI ฯลฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจมากน้อยต่างกันไป 

และจากสภาวการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ คุณขัตติยายกคำว่า F.E.A.R. มาอธิบาย 3 ทางเลือกที่ทุกคนเลือกได้ว่าจะหนีหรือจะสู้ นั่นคือ 1) Forget Everything and Run ลืมเป้าหมายทุกอย่างที่กำลังมุ่งไปและวิ่งหนีปัญหาไปให้ไกลที่สุด 2) Face Everything and Rise พร้อมเผชิญหน้าทุกปัญหาและลุกขึ้นสู้ทุกความท้าทาย และ 3) Face Everything and Roar เผชิญหน้าทุกอย่าง หากล้มก็พร้อมที่จะลุกขึ้นมาใหม่ และวิ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน 

ไม่มีใครสามารถควบคุมความแปรปรวนหรือพายุใดๆ ได้ แต่เราสามารถ ‘Face Everything and Roar’ เผชิญหน้าทุกอย่าง โดยใช้เครื่องมือ ใช้ความรู้ที่มีก้าวผ่านความแปรปรวนไปด้วยกัน แน่นอนว่าเรามุ่งมั่นไปต่อ เราอาจจะล้มและลุกขึ้นใหม่ได้ ก็ด้วยความกล้าหาญเหมือนนกฟีนิกซ์

คุณขัตติยากล่าว และตอกย้ำว่าคนไทยต้องพาธุรกิจไทยไปต่อ แม้จะเจอเรื่องที่ไม่แน่นอน ไม่คาดฝัน “เราต้องสู้กับความไม่แน่นอน ความแปรปรวน ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องใหม่ และสิ่งที่ต่างไปก็คือ มันชัดขึ้น เสียงมันดังขึ้น เราจึงต้องเตรียมพร้อมและรับมือความแปรปรวน ความเปลี่ยนแปลง ซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ละอุตสาหกรรม แต่อาชีพ แต่ละคน และต้องเลือกใช้เครื่องมือต่างกันไป เพราะต่างก็มีจุดแข็งจุดอ่อนต่างกัน” 

EARTH JUMP 2025

ก่อนจะไปดู ‘เครื่องมือ’ คุณขัตติยากล่าวถึง 3 องค์ประกอบสำคัญที่ภาคธุรกิจต้องรู้ก่อน เพื่อจะได้วางแผนก้าวข้ามความแปรปรวนและเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero ได้ถูกทิศทาง 

  • 1. Health Check ตรวจสุขภาพตัวเองก่อน ว่าตอนนี้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปเท่าไร 
  • 2. Commitment ตั้งเป้าว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เท่าไร ภายในปีไหน 
  • 3. Solutions หาวิธีและเครื่องมือต่างๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้บรรลุผลตามเป้าที่ตั้งไว้ 

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น คุณขัตติยาเล่าถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างต่อเนื่องของกสิกรไทย ซึ่งถ้าพิจารณาตามแนวคิด ESG ต้องเก็บข้อมูลที่อยู่แวดล้อมการดำเนินธุรกิจใน 3 สโคป (1 กับ 2 เป็นสโคปในความรับผิดชอบของธุรกิจโดยตรง เช่น การผลิต การใช้พลังงาน การจ้างงาน ส่วนสโคป 3 ต้องรวมข้อมูลจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด อาทิ ลูกค้า คู่ค้า) โดยตัวเลขในสโคป 1 และ 2 พบว่า กสิกรไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 72,000 ตันคาร์บอนได้ออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq) ในปีที่ 2024 ส่วนในสโคป 3 ที่ครอบคลุมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดในพอร์ตโฟลิโอ พบว่ามีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 48 ล้านตันคาร์บอนได้ออกไซด์เทียบเท่า

แม้ตัวเลขดังกล่าวลดลงทุกปี แต่ธนาคารก็ยังคงเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกขั้นของการดำเนินงานสู่ Net Zero เอาไว้ที่ปี 2030 (ในอีก 5 ปีข้างหน้า) และในขณะเดียวกัน ก็มุ่งดำเนินงานในสโคป 3 ช่วยลูกค้าเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero ไปด้วยกัน แต่เนื่องจากลูกค้ามีความหลากหลายและยังขาดความเข้าใจเรื่อง Net Zero อีกมาก กสิกรไทยจึงสร้าง K-Climate Solutions ขึ้น 

โดย K-Climate Solutions เป็นการรวมโซลูชันแบบครอบคลุมทุกด้านของระบบนิเวศของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตั้งแต่การเผยแพร่องค์ความรู้ สร้างความตระหนักรู้ การให้คำปรึกษา การพัฒนาโซลูชันหรือแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อให้ใช้เป็นเครื่องมือเปลี่ยนผ่าน การให้สินเชื่อและเงินลงทุนสู่ Net Zero โดยแยกได้ดังนี้ 

EARTH JUMP 2025

  • ด้านการเผยแพร่และส่งต่อองค์ความรู้ – กสิกรไทยจัดตั้ง CREATIVE CLIMATE Research Center by KBank ช่องทางส่งมอบความรู้ด้านความยั่งยืนจากองค์กรและสถาบันชั้นนำ ทั้งภาคการศึกษา ภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงองค์กรที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในและต่างประเทศ
  • ด้านการให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ – กสิกรไทยจัดตั้ง K-CLIMATE ESG Advisory บริการที่ปรึกษาด้าน ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) และการลดก๊าซเรือนกระจก โดยเน้นการให้คำแนะนำและสนับสนุนให้องค์กรต่างๆ ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมกับสร้างผลตอบแทนทางธุรกิจ
  • ด้านการให้เครื่องมือช่วยภาคธุรกิจ มีโซลูชันหลากหลายรูปแบบ ได้แก่
    • KCLIMATE 1.5 โซลูชันบริหารจัดการและคำนวณคาร์บอนฟุตพรินต์องค์กร
    • WATT’S UP แพลตฟอร์มเช่ารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร
    • K-Green Space เว็บรวมโซลูชันด้าน Green Living ให้เลือกใช้เพื่อประหยัดพลังงาน 
    • K-Green Pass แพลตฟอร์มสนับสนุนการขึ้นทะเบียนและการซื้อขาย REC (ใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน)

อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจต้องใช้เงินลงทุนเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำเพื่อไปสู่ธุรกิจสีเขียว ดังนั้น กสิกรไทยจึงจัดเตรียม Green Finance หรือ การให้สินเชื่อและเงินลงทุนสีเขียว เอาไว้ โดยตั้งเป้าที่จะให้สินเชื่อเพื่อช่วยเปลี่ยนผ่านแก่ภาคธุรกิจ 200,000 ล้านบาท ภายในปี 2573 

แต่หากอัปเดตจากแผนดังกล่าว พบว่าธนาคารให้สินเชื่อและเงินลงทุนไปแล้วกว่า 150,000 ล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าจากภาคธุรกิจที่ใช้บริการกสิกรไทยจำนวนมาก คือ Green Loan หรือ สินเชื่อที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินออกให้ผู้กู้ เพื่อนำไปลงทุนในโครงการและกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ 

  • Solar Rooftop สำหรับการติดตั้งหลังคาโซลาร์เพื่อผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด
  • K-Energy Saving Guarantee สำหรับการเปลี่ยนอุปกรณ์เพื่อลดการใช้พลังงาน ลดต้นทุนทางธุรกิจ
  • EV Charger สำหรับการติดตั้งแท่นชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าตามอาคารต่างๆ

ThaiCBN เครือข่ายที่ KBank ผนึกพลังพันธมิตรผลักดัน SMEs สู่ Net Zero พร้อมออกคู่มือเป็นตัวช่วย SMEs ในการเปลี่ยนผ่าน

EARTH JUMPสอดคล้องไปกับ NDC (Nationally Determined Contribution) หรือ การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ธนาคารกสิกรไทยยังมีอีกบทบาทสำคัญในการเป็นผู้นำทัพลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ Net Zero นั่นคือ การจัดตั้ง ThaiCBN (Thailand Climate Business Network) หรือ เครือข่ายธุรกิจเพื่อการจัดการสภาพภูมิอากาศประเทศไทย โดยรวมพลังพันธมิตรจากทุกภาคส่วนเข้ามาอยู่ในเครือข่าย ล่าสุดมี 33 องค์กรพันธมิตรประกาศเข้าร่วม อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.), หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย (TCC) พัฒนาแนวปฏิบัติด้านสภาพภูมิอากาศตามความเชี่ยวชาญของแต่ละพันธมิตรเพื่อผลักดันธุรกิจ SMEs ไทยเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero 

ซึ่งในงาน EARTH JUMP 2025 ยังมีการพูดคุยในหัวข้อ ‘SME Handbook เปิดคู่มือ SME สู่ Net Zero เครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจลดคาร์บอน’ โดยผู้แทนจากแต่ละภาคส่วนมาให้ความรู้ ช่วยปลดล็อกและแนะนำการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำในหลากหลายแง่มุม สำหรับ ‘e-Handbook For Greener SME’ ซึ่งคู่มือนี้ได้มัดรวมแนวทางสนับสนุนจากองค์กรพันธมิตรในเครือข่าย ThaiCBN เพื่อเป็นตัวช่วยหรือไกด์ไลน์ในการเปลี่ยนผ่านที่ SMEs สามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการในแต่ละช่วงของการเปลี่ยนผ่าน เช่น 

ช่วงเริ่มต้นที่ธุรกิจมีความต้องการองค์ความรู้ ก็สามารถหาได้จากคู่มือเล่มนี้ อาทิ

  • Green SME Index (คู่มือปฏิบัติ ESG สำหรับ SMEs ไทย สู่โอกาสในตลาดโลกสีเขียว) เพื่อช่วย SMEs ไทยในการเริ่มต้นและพัฒนาการดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ESG อย่างมีประสิทธิภาพ โดย หอการค้าร่วมต่างประเทศ (Joint Foreign Chambers of Commerce in Thailand : JFCCT), The Asia Foundation, Australian Embassy Thailand และ The Office of SMEs Promotion (OSMEP)

  • ‘CCI Library’ คลังความรู้ด้าน Climate & ESG สำหรับอุตสาหกรรม เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าใจหลักการ วิธีดำเนินการลดการปล่อยคาร์บอน โดย สถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (สปอ.) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI)

EARTH JUMP 2025

สำหรับธุรกิจที่มีความรู้ความเข้าใจในระดับหนึ่ง และเริ่มมองหาเครื่องมือหรือตัวช่วยในการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งคู่มือนี้ก็ได้รวบรวมเอาไว้ให้เลือกใช้ เช่น

  • ‘SME One ID’ แพลตฟอร์มลงทะเบียนสำหรับ SMEs, ‘SME Academy 365’ หลักสูตร e-Learning โดย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)

  • บริการรับรองวอเตอร์ฟุตพรินต์ผลิตภัณฑ์ โดย สถาบันน้ำและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

  • Circular Economy Academy (สถาบันวิทยาการเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อผู้ประกอบการและผู้บริโภค) เพื่อให้ความรู้ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการทำธุรกิจตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน โดย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย (TCC) 

  • ‘แนวปฏิบัติการบริหารความเสี่ยงด้าน ESG ฉบับภาษาไทย’ เพื่อเชื่อมผู้ประกอบการกับองค์ความรู้ด้านบัญชี เช่น IFRS S1-S2, ช่วยตรวจสุขภาพทางการเงิน ประเมินความเสี่ยงด้าน ESG ตลอดจนทรานสฟอร์มการทำบัญชีไปสู่ความยั่งยืน โดย สภาวิชาชีพบัญชีในพระบรมราชูปถัมภ์ (TFAC) 

  • ‘SET CARBON’ หรือ ระบบจัดการข้อมูลก๊าซเรือนกระจก โดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

ส่วนธุรกิจที่มีความพร้อมในการลงมือปฎิบัติจริง ภายในคู่มือนี้ได้มีการแนะนำสินเชื่อ อย่างเช่น สินเชื่อธุรกิจเพื่อลดคาร์บอน สินเชื่อโซลาร์รูฟท็อป ซึ่งเป็นสินเชื่อจากธนาคารกสิกรไทยที่สนับสนุนเงินทุนเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเกิดขึ้นได้จริง 

โดยผู้ที่ต้องการ ‘e-Handbook For Greener SME’ คู่มือแห่งยุคที่จะช่วยให้ธุรกิจเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero ภายใต้ความร่วมมือ ThaiCBN สามารถดาวน์โหลดได้ที่ LINK

EARTH JUMP 2025EARTH JUMP 2025 เป็นงาน ‘Carbon Neutral Event’ หรือ การจัดงานที่มีเป้าหมายเป็นกลางทางคาร์บอน โดยจะคำนวณและชดเชยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาทั้งหมดให้เป็นศูนย์ ด้วยการซื้อคาร์บอนเครดิตผ่านโครงการที่ได้รับการรับรองจาก อบก. อาทิ การใช้โต๊ะ เก้าอี้ และวัสดุตกแต่ง ที่ผลิตจากกระดาษรีไซเคิลแทนการใช้โครงไม้ เพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้ได้ใหม่โดย SCGP, การจัดวางถังขยะ 3 ประเภท ได้แก่ ถังขยะทั่วไป ถังขยะเศษอาหาร และถังขยะรีไซเคิล ซึ่งจะนำขยะไปคำนวณและจะชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดหลังจบงาน

แนะเส้นทาง (ธุรกิจ) ไทยในระเบียบโลกใหม่

ต่อให้นโยบายอเมริกาจะเปลี่ยนไปอย่างไร น้ำแข็งขั้วโลกก็ไม่หยุดแตก เพราะมันเป็น Scientific Fact และส่วนที่แตกไปแล้วก็มีขนาดใหญ่กว่า กทม. ถึง 2 เท่า

ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวในวงเสวนา ‘New Climate World Order ระเบียบโลกใหม่ กฎใหม่ เกมเปลี่ยนผ่าน’ บนเวที EARTH JUMP 2025 และยังให้คำแนะนำด้วยว่า ในระยะสั้น ไทยต้องพยายามปรับตัว ส่วนในระยะกลางและระยะยาว ไทยไม่สามารถชะลอการวางแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและต้องเตรียมการรองรับกติกาโลกใหม่ด้วย เช่น CBAM มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป

EARTH JUMP 2025

ทุกอย่างในเกมนี้จะ ‘Delayed, but not derailed’ คือ โปรเจกต์ลดการปล่อยคาร์บอนที่ทำจะล่าช้าออกไป แต่ไม่ออกนอกเส้นทาง เพราะไม่มีใครหยุดทำ นอกจากนี้ การกีดกันทางการค้าทำให้เกิดพันธมิตร (Alliance) ใหม่เร็วขึ้นกว่าเดิม และโลกกำลังเปลี่ยนสู่รุ่งสางของวันใหม่ เรียกว่า New Climate Paradigm

คุณพิพิธ เอนกนิธิ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวในวงเสวนาเดียวกัน และยังบอกอีกว่า ขณะนี้โลกแบ่งเป็นสองฝั่งและเกิดกระบวนทัศน์ใหม่ คือ อเมริกา อยู่ฝั่ง นักล่ามังกร (Dragon Slayer) ส่วนยุโรป ฮ่องกง อาเซียน จีน อยู่ฝั่ง คนกอดแพนด้า (Panda Huggers) ส่วนประเทศไทยนั้นต้องยืนอยู่ได้ทั้งสองฝั่ง

อีกประเด็นจากวงเสวนาที่เลือกนำมาบอกต่อ คือ ‘How Carbon Credit Market Can Play A Pivotal Role to Climate Actions ตลาดคาร์บอนเครดิต ชิ้นส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ’ ซึ่งมี ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เป็นหนึ่งในผู้ร่วมเสวนา กล่าวบนเวทีว่า ธนาคารรวมปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของลูกค้าสินเชื่อในสโคป 3 แล้วพบว่า มีมากกว่าสโคป 1 และ 2 รวมกันถึง 680 เท่า ธนาคารจึงยิ่งต้องช่วยลูกค้าสินเชื่อลดการปล่อยคาร์บอน เพื่อร่วมลดโลกร้อนไปด้วยกัน

กสิกรไทยจึงออกแบบ Carbon Credit Tokenization หรือ การออกโทเคนคาร์บอนเครดิต ผลิตภัณฑ์ที่สอดรับกับยุคดิจิทัลและการเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล โดย กลุ่มธุรกิจ Orbix เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มโอกาสให้ภาคธุรกิจเข้าซื้อขายคาร์บอนเครดิตในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลได้ ซึ่งจะผลักดันให้ตลาดคาร์บอนเครดิตไทยเติบโตและมีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต ทั้งนี้ ดร.กรินทร์ระบุว่า จะได้เห็นโทเคนคาร์บอนเครดิตแจ้งเกิดในไตรมาสสามของปีนี้ และย้ำในตอนท้ายว่า

กรีนต้องกินได้ กรีนต้องทำให้แข่งขันได้ กรีนต้องทำให้พวกเราเติบโตได้อย่างยั่งยืนและรุ่งเรือง

จากวิสัยทัศน์ผู้นำท่ามกลางความไม่แน่นอน กรอบการดำเนินงานของธนาคารสู่ความยั่งยืน แนวทางช่วยเหลือภาคธุรกิจและโซลูชันเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การจับมือพันธมิตรขยายเส้นทางสู่ Net Zero ตลอดจนแผนการออกโทเคนคาร์บอนเครดิต ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจได้ในอนาคต บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นของ KBank ในการพาผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและธุรกิจไทยทั้งองคาพยพไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำได้อย่างสร้างสรรค์และครอบคลุมทุกมิติ 

ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจ ผู้นำองค์กร ผู้บริหาร สตาร์ทอัพ หรือผู้บริโภค ที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้ คงเห็นแล้วว่า ภาครัฐและเอกชนไทยให้ความสำคัญในเรื่องการลดคาร์บอนกันและดำเนินงานตามแผนกันเต็มพิกัดเพื่อลดผลกระทบจากโลกที่กำลังเคลื่อนตัวสู่โลกเดือด งาน EARTH JUMP 2025 ในครั้งนี้ชี้ให้เราเห็นแล้วว่า ถ้าจะลดโลกร้อนให้สำเร็จ ต้องอาศัยความร่วมมือจาก ‘ทุกคน’ ไม่ใช่แค่ระดับองค์กรหรือระดับประเทศ และต้องทำตั้งแต่วันนี้ ตอนนี้ ไม่อย่างนั้น… การดำรงชีวิตหรือดำเนินธุรกิจในวันหน้า อาจได้รับผลกระทบด้านลบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมทั้งมี ‘ราคาที่ต้องจ่าย’ เพิ่มขึ้นและสาหัสกว่าทุกวิกฤตที่เคยประสบมา

บทความนี้เป็น Advertorial 

บทความรวมประเด็นสำคัญจากงาน EARTH JUMP 2025 ฟอรั่มแห่งปีโดย KBank ที่ ‘ผู้ประกอบการควรรู้’ เพื่อเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับ Net Zero พบช่องทางสนับสนุน เครื่องมือ และโอกาสทางธุรกิจ เพื่อก้าวสู่ Low Carbon Economy  Tech & Biz Techsauce

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *