จากท่าเรือสู่ท่าทีของโลก…
ณ เมืองต้าเหลียน เมืองชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ที่ได้ฉายาว่า “ฮ่องกงแห่งจีนเหนือ” ด้วยบทบาทศูนย์กลางเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของมณฑลเหลียวหนิง เมืองนี้ไม่ได้เป็นแค่จุดหมายปลายทางของสินค้าอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางของ “ความคิด”
เมื่อ World Economic Forum ประจำปี 2025 เดินทางมาจัดขึ้นที่นี่ พร้อมหยิบประเด็นร้อนอย่าง “Manufacturing in a Fragmented World” หรือ อนาคตของการผลิตในโลกที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ขึ้นมาพูดคุยกันอย่างเข้มข้น
การพูดคุยครั้งนี้ได้รับการดำเนินรายการโดย
Chery Kang ผู้สื่อข่าวและผู้ประกาศจาก CNBC Asia ผู้คร่ำหวอดในวงการเศรษฐกิจเอเชีย
เธอเปิดเวทีให้กับเหล่าผู้มีบทบาทโดยตรงในห่วงโซ่การผลิตระดับโลก ได้แก่:
- Peng Sen ประธาน China Society of Economic Reform นักคิดนโยบายเศรษฐกิจมือเก๋าของจีน ผู้ร่วมผลักดันการปฏิรูปอุตสาหกรรมมาตั้งแต่ยุค “Made in China 2025”
- Li Dongsheng ผู้ก่อตั้งและประธาน TCL เจ้าพ่ออิเล็กทรอนิกส์ระดับโลกจากจีน ผู้พา TCL เติบโตจากแบรนด์จีนสู่แบรนด์ระดับโลก
- Liu Zongchang ซีอีโอของ Foxconn Industrial Internet แกนกลางของโรงงานผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเซิร์ฟเวอร์รายใหญ่ของโลก หนึ่งในผู้ขับเคลื่อน AI สู่สายการผลิต
- Danny Chen ดำรงตำแหน่ง Global Vice President ของ Jinko Solar ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียนของจีน ผู้ผลักดันการขยายฐานผลิตแผงโซลาร์เซลล์ไปทั่วโลก
- Prof. Jay Lee ศาสตราจารย์ด้าน Industrial AI จาก University of Maryland, USA ผู้บุกเบิกแนวคิด AI Factory และนักวิชาการที่เชื่อมโยงเทคโนโลยีกับภาคการผลิตจริงอย่างใกล้ชิด
Manufacturing in a Fragmented World: เมื่อโลกไม่ได้ผลิตแบบเดิมอีกต่อไป
คำถามสำคัญคือ…
“ในโลกที่เต็มไปด้วยกำแพงภาษี สงครามเทคโนโลยี และการเมืองระหว่างประเทศ จีนยังจะรักษาความเป็นผู้นำในภาคการผลิตไว้ได้อย่างไร ?”
1. เมื่อโลกกำลังแยกส่วน จีนจะอยู่ตรงไหนในห่วงโซ่การผลิตโลก
คำถามเปิด Session นี้อย่างเป็นทางการที่ Chery Kang ได้มุ่งไปถาม Peng Sen ประธาน China Society of Economic Reform เป็นคนแรก
สำหรับ Peng Sen การตอบคำถามเรื่องอนาคตของจีนในห่วงโซ่การผลิตโลก เริ่มต้นจากการชวนมองภาพใหญ่ว่าโลกกำลังเปลี่ยนไปแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคง โลกาภิวัตน์ที่เคยรวมทุกอย่างไว้ด้วยกัน กำลังถอยหลังกลับ เสียงเรียกร้องให้แต่ละประเทศพึ่งพาตัวเองมากขึ้น ทำให้ห่วงโซ่อุตสาหกรรมโลกเริ่ม ‘แยกตัว’ อย่างชัดเจน
จีนเองก็ได้รับแรงกระแทกเต็ม ๆ โดยเฉพาะจากนโยบายลดการพึ่งพาจีนของสหรัฐฯ ตั้งแต่ยุคไบเดนไปจนถึงมาตรการภาษีตอบโต้ในยุคทรัมป์ ซึ่ง Peng มองว่าเป็นการละเมิดหลัก WTO และส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชนทั่วโลก
แต่แทนที่จะถอย จีนเลือกใช้แรงกดดันนี้เป็นแรงส่ง เพราะ Peng เชื่อว่าจีนยังยึดแนวคิดของระบบการค้าเสรี และจะยังเป็นส่วนหนึ่งของโลกในฐานะผู้ร่วมมือ ไม่ใช่ผู้แยกตัว พร้อมใช้โอกาสนี้อุดช่องว่างในระบบการผลิต ยกระดับเทคโนโลยีและลดการพึ่งพาต่างชาติ โดยเฉพาะในด้านชิปและอุปกรณ์ขั้นสูง
เขายังพูดถึงปรากฏการณ์ “reshoring” และ “nearshoring” ที่เกิดควบคู่กันว่า บางส่วนของการผลิตกลับมาตั้งในจีนเพื่อความมั่นคง ขณะที่บางกระบวนการก็ย้ายไปประเทศใกล้ตลาดเป้าหมาย เช่น เวียดนามหรือเม็กซิโก เพื่อเลี่ยงความเสี่ยงจากการค้าโลก วิธีคิดนี้ไม่ใช่การหนีปัญหา แต่คือการออกแบบใหม่ให้ห่วงโซ่อุตสาหกรรมยืดหยุ่นกว่าเดิม
สุดท้าย Peng ทิ้งท้ายว่า จีนไม่ได้ต้องการรักษาเสถียรภาพเพื่อตัวเองเท่านั้น เพราะการร่วมมือกันต่างหากที่ยังเป็นคำตอบเดียวในระยะยาวสำหรับอนาคตของการผลิตทั่วโลก
ในส่วนของ Liu Zongchang พูดถึงสิ่งที่เขาเชื่อมาตลอด นั่นคือโรงงานไม่ใช่แค่ที่ผลิตของ แต่คือหัวใจของเศรษฐกิจและสังคม เขามองว่าการผลิตไม่ได้เป็นแค่เรื่องการแข่งขันกันที่ต้นทุนหรือความเร็ว แต่คือการสร้างมูลค่าให้กับประเทศและคุณภาพชีวิตของผู้คน และในวันนี้สิ่งที่จะเปลี่ยนการผลิตไปอย่างสิ้นเชิงคือ AI
Liu เชื่อว่า AI ไม่ได้แค่เข้ามาแทนแรงงาน แต่จะกลายเป็น “สมองของโรงงาน” ที่เรียนรู้ วิเคราะห์ และปรับตัวได้เองจากข้อมูลที่เกิดขึ้นในทุกวัน ข้อมูลที่เคยปล่อยผ่านจะกลายเป็นทรัพย์สินใหม่ของโรงงาน และเมื่อใช้ AI ได้ดีขึ้นทุกวัน ก็จะเกิดดอกเบี้ยทางปัญญาหรือความฉลาดที่สะสมขึ้นเรื่อย ๆ
เขาอธิบายว่า โรงงานยุคใหม่จะสามารถคาดการณ์คุณภาพของสินค้าได้ก่อนผลิตจริง ลดของเสีย และผลิตได้แม่นยำตั้งแต่ชิ้นแรก ซึ่งจะเปลี่ยนวิธีคิดทั้งระบบจากเดิมที่อาศัยการลองผิดลองถูก นอกจากนี้ AI ยังช่วยให้ประเทศหรือเมืองที่ไม่เคยมีอุตสาหกรรมมาก่อน สามารถตั้งโรงงานและฝึกแรงงานให้เก่งได้ในเวลาอันสั้น จากเดิมที่อาจต้องใช้เวลานานนับสิบปี
นี่คือการย่นระยะเวลาในการเรียนรู้ และกระจายความสามารถในการผลิตออกไปสู่พื้นที่ใหม่ แต่สิ่งที่ Liu เน้นที่สุดคือ AI ควรไม่ได้เปลี่ยนแค่โรงงาน แต่ควรเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจให้ทั่วถึงและสมดุลมากขึ้น สำหรับเขา การผลิตคือความภาคภูมิใจ ไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคโนโลยี และถ้า AI จะเข้ามาเปลี่ยนอะไร มันควรทำให้ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงสิ่งที่ดีขึ้นได้เท่าเทียมกัน
2. จีนต้องรับมืออย่างไรกับ ‘ปัญหาขาดแคลนชิปและมาตรการควบคุมการส่งออกจากสหรัฐฯ’
คำถามที่หลายๆ ประเทศคงอยากรู้คำตอบนี้ โดยเฉพาะเมื่อจีนกำลังถูกจับตาด้วยนโยบายควบคุมการส่งออกอุปกรณ์ผลิตชิประดับสูง ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมจีนโดยตรง
ความเห็นของ Li Dongsheng เผยว่า นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงประธานาธิบดีในสหรัฐฯ มีนโยบายการค้าที่เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะต่อจีน ซึ่งส่งผลกระทบชัดเจนต่อห่วงโซ่การผลิตของโลก และการจำกัดการส่งออกอุปกรณ์ผลิตชิปขั้นสูงจากสหรัฐฯ มีผลต่อจีนแน่นอน โดยเฉพาะกับบริษัทที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีขั้นสูงเหล่านี้
แต่ในอีกแง่หนึ่ง Dongsheng ก็เชื่อว่า จีนมีศักยภาพในการแก้ปัญหา แม้อาจใช้เวลา และยังชี้ให้เห็นว่า มาตรการของสหรัฐฯ ไม่ได้กระทบแค่จีน แต่ผู้ผลิตชิปสหรัฐฯ เองก็เสียหาย เพราะต้องสูญเสียตลาดจีน
นอกจากนี้ Dongsheng ยังเปิดเผยว่า TCL ได้ ปรับรูปแบบห่วงโซ่การผลิตในระดับโลก เพื่อลดผลกระทบจากภาษีและมาตรการควบคุม เช่น
- ลดการพึ่งพาการผลิตจากจีนเพียงประเทศเดียว
- ย้ายหรือกระจายฐานการผลิตบางส่วนไปยังประเทศอื่น
- ขยายตลาดใหม่เพื่อลดความเสี่ยงจากตลาดสหรัฐฯ ที่ไม่แน่นอน
ช่วงท้าย เขาให้ความเห็นว่า “ทุกวันนี้เราไม่รู้เลยว่าวันพรุ่งนี้นโยบายจะเปลี่ยนอย่างไร ซึ่งทำให้วางแผนระยะยาวได้ยาก” นี่คือสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นปัญหาหลักของระบบเศรษฐกิจโลกในตอนนี้ ไม่ใช่แค่การกีดกันจีน แต่คือการขาดกติกาที่ชัดเจนและมั่นคง ซึ่งนักธุรกิจไม่สามารถเดินเกมระยะยาวได้เลย
3. Nearshoring คือแค่การแก้ปัญหาระยะสั้น หรือเป็นแนวทางระยะยาวที่เปลี่ยนโฉมการผลิตโลกไปแล้วจริง ๆ ?
เมื่อถึงคิวของ Dany Qian Jing เธอก็ได้คำถามเกี่ยวกับประเด็นร้อนที่หลายคนอยากรู้ นั่นคือการย้ายฐานการผลิตของบริษัทจีนไปยังประเทศใกล้ตลาดอย่างเวียดนามและเม็กซิโก หรือสิ่งที่เรียกว่า Nearshoring มันคือแค่การแก้ปัญหาระยะสั้น หรือเป็นแนวทางระยะยาวที่เปลี่ยนโฉมการผลิตโลกไปแล้วจริง ๆ ?
Dany ตอบอย่างมั่นใจ และพาเรามองเห็นภาพใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นในวงการอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด เธอบอกว่า วันนี้โลกกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานโลก และบริษัทผู้ผลิตจีนที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์ระดับโลก ก็ต้องเริ่มคิดใหม่ว่าจะอยู่ตรงไหนในสมการใหม่นี้
เธออธิบายว่า การผลิตแบบรวมศูนย์ในจีนเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะตลาดทั่วโลกมีข้อจำกัดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภาษี มาตรการควบคุมการส่งออก หรือการกีดกันทางการค้า แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือ แม้ข้อจำกัดเหล่านี้จะเป็นแรงกดดัน แต่บริษัทจีนรุ่นใหม่กลับยินดีที่จะใช้โอกาสนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่าน
Dany บอกว่า JinkoSolar และบริษัทในอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียนกำลังขยับจากการขายสินค้าจากจีนไปทั่วโลกไปสู่การ “ผลิตในโลกเพื่อตอบโจทย์ตลาดโลก” อย่างแท้จริง นี่ไม่ใช่แค่การส่งออกแผงโซลาร์เซลล์ แต่คือการส่งออกโรงงาน ระบบการผลิต เทคโนโลยี ความรู้ และทีมงาน ไปยังประเทศเจ้าบ้าน
เธอย้ำว่า สำหรับบริษัทจีนที่มีความสามารถและมีความมั่นใจพอ การย้ายบางส่วนของกำลังการผลิตไปใกล้ตลาดสำคัญไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่คือโอกาสในการสร้างสิ่งใหม่ร่วมกับท้องถิ่น เช่น การช่วยพัฒนาทักษะแรงงาน สร้างระบบมาตรฐานอุตสาหกรรมในประเทศเจ้าบ้าน และปลูกฝังความสามารถในการผลิตให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน
Dany มองว่า บริษัทชั้นนำของจีนในตอนนี้ ไม่ได้หยุดแค่การขยายโรงงาน แต่กำลังพัฒนาโมเดลธุรกิจที่ “เกื้อหนุน” ประเทศเจ้าบ้านได้จริง และนี่คือสิ่งที่เธอเรียกว่า ภาพของบริษัทที่ยิ่งใหญ่ในโลกยุคใหม่ บริษัทที่ไม่ได้แค่ไปตั้งฐานผลิตเพื่อเลี่ยงภาษี แต่เข้าไปเพื่อสร้างอนาคตใหม่ร่วมกันกับประเทศนั้น
4. จีนปรับตัวเร็วแค่ไหนในยุคเศรษฐกิจโลกแบบใหม่ ?
สำหรับ Jay Lee เขาเริ่มต้นด้วยคำถามกลับที่ลึกกว่าว่า “เราควรเข้าใจก่อนว่า คำว่าการผลิตจริง ๆ แล้วมันคืออะไร?” เพราะในมุมมองของเขา การผลิตไม่ได้หมายถึงแค่การตั้งโรงงาน สร้างสินค้า หรือแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด แต่มันคือเครื่องมือในการสร้างคุณภาพชีวิต ความมั่งคั่ง และความสมดุลของสังคม เขาเชื่อว่าประเทศใดอยากมีชีวิตที่ดี ประชาชนอยากอยู่ดี ต้องเริ่มจากการผลิตให้ดี เพราะเมื่อผู้คนมีชีวิตที่ดีขึ้น สังคมก็จะมั่นคงและเข้มแข็งมากขึ้นโดยธรรมชาติ
Liu ย้อนกลับไปเล่าถึงโครงสร้างของระบบอุตสาหกรรมในอดีต เช่นในยุค 1960s ที่บริษัทขนาดใหญ่มักผูกขาดกระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่การผลิตชิ้นส่วน ไปจนถึงการประกอบสินค้าเองทั้งหมด ตัวอย่างเช่น United Transport Corporation ที่ผลิตเครื่องบินทั้งลำด้วยตัวเอง ก่อนที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะเข้ามาแยกหน้าที่ออก ให้บางบริษัทผลิตเครื่องบิน บางบริษัทผลิตเครื่องยนต์ กลายเป็นระบบที่แบ่งหน้าที่ชัดเจนในระดับโลก เช่น Boeing, Airbus, Rolls-Royce, GE และล่าสุดคือ C919 จากจีน
เขาชี้ว่า การแยกส่วนเช่นนี้ ทำให้อุตสาหกรรมโลกสามารถเติบโตได้เป็นระบบนิเวศ และการที่จีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตในระบบนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องผิดธรรมชาติแต่อย่างใด แต่คือสิ่งที่ควรจะเป็นเมื่อประเทศมีความพร้อม
แต่ Liu ไม่ได้มองแค่การผลิตเพื่อสร้าง GDP เท่านั้น เขาชี้ให้เห็นว่า “เมื่อการผลิตสามารถสร้างมูลค่าได้อย่างยั่งยืน มันจะกลายเป็นต้นน้ำของภาคบริการยุคใหม่” เขาอธิบายว่า รถยนต์ไฟฟ้าในวันนี้ไม่ได้มีมูลค่าจากตัวรถ แต่มีจากข้อมูล (data) ที่มันสร้าง โทรศัพท์มือถือไม่ได้มีค่าเพราะฮาร์ดแวร์ แต่เพราะแอปและระบบที่อยู่ภายใน เช่นเดียวกับเครื่องจักรในโรงงาน ที่จะกลายเป็นต้นทางของข้อมูลจำนวนมหาศาลในโลก AI
เขาเปรียบเทียบว่า จีนในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาได้พัฒนาจากแค่การผลิตของ สู่การสร้าง “ห่วงโซ่อุตสาหกรรม” และในตอนนี้กำลังเปลี่ยนไปสู่การสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงผู้ผลิต นักออกแบบ นวัตกร และแรงงานเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งเป็นจุดที่จีนสามารถให้บริการระดับโลกได้ในฐานะผู้นำระบบการผลิตยุคใหม่
เขาทิ้งท้ายว่า ความเร็วเป็นเรื่องหนึ่งก็จริง แต่ความยั่งยืน ความมั่นคง และการกระจายโอกาสต่างหาก ที่จะเป็นบทต่อไปของอุตสาหกรรมจีน และนี่คือเป้าหมายของ Foxconn และผู้ผลิตจีนยุคใหม่
5. จีนกำลังกระจายความมั่งคั่งจากภาคการผลิตได้ดีแค่ไหน ?
Peng Sen ตอบด้วยการพาเราย้อนกลับไปดูเส้นทางของภาคการผลิตจีนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เขาบอกว่า ตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา จีนก้าวขึ้นมาเป็น ภาคการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ในตอนนั้นจีนยังคงใหญ่แต่ไม่แกร่ง เพราะยังผลิตสินค้าที่อยู่ในระดับล่างถึงกลาง ไม่ใช่ของคุณภาพสูง
เพื่อเปลี่ยนภาพนั้น จีนจึงริเริ่มแผน “Made in China 2025” ซึ่งวันนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ยกระดับทั้งคุณภาพและสถานะของการผลิตจีนให้กลายเป็นเครื่องจักรหลักของเศรษฐกิจโลก
เพราะวันนี้ จีนมีขนาดอุตสาหกรรมการผลิตใหญ่เป็นสองเท่าของสหรัฐฯ และเยอรมนีหรือญี่ปุ่น และจากการประเมินของ UN อีก 5 ปีข้างหน้า จีนอาจครองส่วนแบ่งการผลิตโลกถึง 40% แต่สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่ตัวเลขเหล่านี้ แต่คือคุณภาพที่พัฒนาอย่างชัดเจน
เขายกตัวอย่างว่า 90% ของสินค้าที่จีนส่งออกในตอนนี้ ไม่ใช่เสื้อผ้าหรือของแปรรูปแบบเดิมอีกต่อไป แต่เป็นสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น หุ่นยนต์ ระบบรางความเร็วสูง ชิปอิเล็กทรอนิกส์ หรืออุปกรณ์พลังงานสะอาด และบางอย่างอย่าง “หุ่นยนต์อุตสาหกรรม” จีนมีส่วนแบ่งมากถึง 50% ของการผลิตทั่วโลก มากกว่าสหรัฐถึง 8 เท่า
แม้ในชิปขั้นสูงจีนจะยังตามหลัง แต่ Peng เชื่อว่าความกดดันจากมาตรการควบคุมของสหรัฐจะยิ่งผลักดันให้นักพัฒนาในประเทศลุกขึ้นมาสร้างเทคโนโลยีของตัวเอง จากตรงนี้ เขาโยงไปสู่อนาคต ว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า จีนจะยังเดินหน้าในเส้นทางเดิม แต่ลงลึกใน 3 ทิศทางหลัก ได้แก่
- อัปเกรดอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมให้มีเทคโนโลยีสูงขึ้น
- ดัน 7 กลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ไอทีรุ่นใหม่ พลังงานชีวภาพ วัสดุใหม่ และเทคโนโลยีลดการปล่อยคาร์บอน
- พัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคตอย่าง AI, ควอนตัมคอมพิวเตอร์ และวิทยาศาสตร์ชีวิต
จากนั้น Peng หันกลับมาตอบคำถามต่ออีกประเด็น เรื่องการลงทุนของบริษัทจีนในต่างประเทศ เช่น กรณีของ JinkoSolar ที่ขยายไปเม็กซิโกและเวียดนาม เขาบอกว่า นี่ไม่ใช่ “แผนระยะสั้น” เพื่อหลบเลี่ยงภาษีหรือข้อจำกัดทางการค้า แต่เป็นการวางกลยุทธ์ระยะยาว
เขาย้อนกลับไปถึงปี 2001 ที่จีนเข้าเป็นสมาชิก WTO โดยใช้เวลาเจรจาถึง 10 ปี เพื่อพิสูจน์ว่าจีนพร้อมเปิดเศรษฐกิจ แต่ในวันนั้นจีนยังไม่มีความสามารถในการแข่งขันเท่าทุกวันนี้ วันนี้จีนแข็งแกร่งขึ้น และเริ่มเห็นแล้วว่าโลกกำลังเปลี่ยนกฎ จากยุคที่ Globalization ผลักให้การผลิตไหลเข้าสู่จีน กลายเป็นโลกใหม่ที่แต่ละภูมิภาคเริ่มต้องการผลิตเองมากขึ้น
ดังนั้น เป้าหมายของจีนในวันนี้จึงไม่ใช่การเพิ่มส่วนแบ่งตลาด แต่คือการยกระดับห่วงโซ่คุณค่าโดยเฉพาะในพื้นที่ที่เคยไม่มีอุตสาหกรรม
อ้างอิง: บทสนทนาใน Session: Manufacturing in a Fragmented World ในงาน World Economic Forum 2025 ณ ประเทศจีน เมืองต้าเหลียน
เมื่อ World Economic Forum 2025 จัดขึ้นที่ต้าเหลียน ประเทศจีน ผู้นำอุตสาหกรรมและนักคิดระดับโลกมาร่วมถกอนาคตการผลิตในโลกที่แยกส่วน ท่ามกลางความท้าทายจากสงครามการค้า เทคโนโลยี และการเมืองระหว่างประเทศ Tech & Biz Techsauce